วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

หนาวนี้ที่ “ภูหินร่องกล้า”

ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่ “ภูหินร่องกล้า” แต่ฉันก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แตกต่าง เพราะว่าไม่ได้มาทำงานเหมือนครั้งแรก จึงมีเวลาเก็บเกี่ยวรายละเอียดมากมาย ได้มีเวลาละเมียดละไมดูอะไรอีกตั้งหลายอย่าง และได้พบว่าที่นี่นอกจากจะเป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีที่ๆโรแมนติกและมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะเลย



ก่อนอื่นฉันขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของที่นี่ก่อนแล้วกัน เพราะเวลาเราจะไปที่ไหนก็ควรรู้จักสถานที่นั้นไว้ก่อนไม่ใช่เหรอ สำหรับเทือกเขาแห่งนี้ เมื่อ 30 ปีก่อน เคยเป็นฐานที่มั่นของคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อทหารได้เข้ามาปราบปรามชาวเขาเผ่าม้งที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์จึงกลับใจเข้ามอบตัวกับทางการ ทำให้มีถนนตัดผ่าน และได้ตั้งภูหินร่องกล้าเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2526 ที่นี่ยังมีร่องรอยประวัติศาสตร์ การสู้รบไปทั่วทั้งผืนป่าและรอยหิน แต่ใครจะรู้บ้างว่าท่ามกลางสมรภูมิรบในดินแดนแห่งนี้ ยังมีความงามซ่อนตัวอยู่

วันนี้เมื่อที่นี่กลายเป็น “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” ที่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ได้เปิดเผยให้เห็นความงดงามของธรรมชาติท่ามกลางป่าสน และดงดอกไม้นานาพันธ์ การมาภูหินร่องกล้าในหน้าหนาวเป็นความรู้สึกที่พิเศษ โดยเฉพาะคนกรุงเทพที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาว เพราะหนาวจริงๆ หนาวได้ใจ ถึงแม้ในเวลากลางวันอากาศจะไปทางค่อนข้างเย็นสบายจนถึงร้อนก็ตามเหอะ แต่พอตกเย็นเท่านั้นเสื้อหนาวมีเท่าไหร่ต้องขนออกมาใส่ให้หมด หนาวมากแต่ก็ได้บรรยากาศดี ยิ่งถ้าได้ก่อกองไฟทำเป็นเตาผิงยิ่งโรแมนติกใหญ่ ได้มองดูดาวเต็มฟ้า เวลาพูดก็จะมีไอเย็นออกจากปาก สูดอากาศเข้าไปก็ได้ออกซิเจนไปเต็มๆปอด แต่ขาดอย่างเดียวคือขาดคู่มากับเค้าด้วย (เฮ้อ.. แล้วจะโรแมนติกไหมเนี่ย)


เวลามาเที่ยวต่างจังหวัดแบบนี้ การตื่นเช้าก็เป็นข้อดีอีกอย่าง เพราะเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น น้ำค้างกลิ้งบนยอดหญ้า ได้ยินเสียงไก่ขัน นกร้องจิ๊บๆ หรือแม้แต่เสียงลมพัดที่พัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่ามาด้วย คงไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้มีโอกาสสังเกตุหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ชื่นชมความงามของธรรมชาติ และได้สัมผัสถึงการพักผ่อนจริงๆ

การมาเที่ยว อุทยานฯภูหินร่องกล้า ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก เพราะที่นี่มีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายขนมและของที่ระลึก แค่เตรียมตัวฟิตร่างกายสักหน่อย เพราะแต่ละที่ค่อนข้างเดินไกลพอสมควร ที่สำคัญควรศึกษาหาข้อมูลไปบ้าง อย่างลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธง และโรงเรียนการเมืองการทหารมีความเป็นมายังไง ถ้าเราทราบไว้เวลาไปเที่ยวก็จะสนุกยิ่งขึ้น แต่ที่ไม่ควรพลาดก็คือ อย่าลืมพกกล้องถ่ายรูปไปด้วย เพราะที่นี่มีวิวสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะ อย่างจุดไฮไลท์ที่สุดก็คือที่ลานหินปุ่มและตรงผาชูธง 2 จุดนี้มีคนไปรอต่อคิวถ่ายรูปเพียบ ยิ่งถ้าไปตอนพระอาทิตย์ตกก็จะได้รูปสวยๆกลับไปหลายใบเลยล่ะ แต่ถ้าจะถ่ายในอุทยานฯก็มีมุมเก๋ๆ อย่าง ใต้ต้นเมเปิ้ล ตรงนี้ฮอตสุดๆ หรือจะเป็นโซนที่พักด้านหลังที่มีต้นนางพญาเสือโคร่งกำลังออกดอกสีชมพูบานสะพรั่ง ถ่ายออกมาได้เหมือนอยู่ในดินแดนซากุระ ดูคิกขุอาโนเนะไปอีกแบบ แต่ถ้าใครอยากได้มุมอาร์ตหน่อยแนะนำให้ไปที่ร้านกาแฟหน้าอุทยานตรงนี้มีมุมให้นั่งถ่ายรูปหลายมุม แถมยังมีดอกไม้รอบๆร้านเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากที่ไม่ต้องเสียสตางค์เลยล่ะ

BY...SONIA1988

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น