วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ชี้แผ่นดินไหวเฮติ คล้าย 2012 วันสิ้นโลก!!!

โศกนาฏกรรมกลางเมืองหลวงเฮติ แผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์ กว่า 1 นาที ทำเนียบประธานาธิบดี-ที่ทำการกระทรวง-ตึกถล่มพังพินาศ คาดยอดตายสูงหลายพันคน "สมิทธ" ชี้ปรากฏการณ์ "พายุสุริยะ" เขย่าโลก คล้ายในหนัง "2012 วันสิ้นโลก"
เกิดเหตุแผ่นดินไหววัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.0 ริกเตอร์ ใกล้เมืองหลวงของสาธารณรัฐเฮติ เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. วันที่ 13 มกราคม ตามเวลาประเทศไทย ส่งผลให้เนียบประธานาธิบดี ที่ทำการกระทรวงต่างๆ ตลอดจนที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) พังถล่ม คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตน่าจะสูงนับพันคน เพราะจุดเกิดเหตุมีคนอาศัยอยู่หนาแน่น ขณะที่อาคารบ้านเรือนก็สร้างอย่างไม่แข็งแรง

แผ่นดินไหวครั้งนี้ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 200 ปี ที่เกิดขึ้นในเฮติ ประเทศยากจนในแถบแคริบเบียน แถมยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกรุนแรงตามมาอีกถึง 24 ครั้ง เบื้องต้นทางการเฮติยืนยันแล้วว่า ประธานาธิบดีเรเน พรีวาล และภริยาปลอดภัยดี แม้ทำเนียบจะได้รับความเสียหายยับเยินจากเหตุธรณีพิโรธที่มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียง 15 กิโลเมตร และเกิดลึกลงไปใต้ผิวดินเพียง 10 กิโลเมตร

แผ่นดินไหวครั้งนี้กินเวลากว่า 1 นาที แต่แรงสั่นสะเทือนทำให้แม้แต่ตึกที่มีโครงสร้างแข็งแรงอย่างทำเนียบประธานาธิบดี กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม และกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ มีรายงานว่าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งชานเมืองหลวงพังถล่มลงมาด้วย
ด้านยูเอ็นแถลงว่า ตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่กว่า 7,000 คน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก มีเจ้าหน้าที่ยูเอ็นสูญหายเป็นจำนวนมาก

เบื้องต้นหนังสือพิมพ์ไชนา เดลี รายงานว่า มีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวจีนเสียชีวิต 8 คน สูญหายอีก 10 คน ส่วนโฆษกกองทัพจอร์แดนแถลงว่า มีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวจอร์แดนเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ 3 นาย ได้รับบาดเจ็บอีก 21 นาย ขณะที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารประจำการอยู่ในเฮติกว่า 600 คน ก็แสดงความเป็นห่วงคนของตัวเองเช่นกัน
ส่วนภาพที่ชาวเฮตินำมาโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต และภาพที่สื่อต่างๆ ถ่ายออกมา แสดงให้เห็นว่าจุดเกิดเหตุเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่พังราบเป็นหน้ากลอง เสาโทรศัพท์ล้มลงมากองกับพื้น รถยนต์หลายคันถูกซากปรักหักพังทับพังยับ กลุ่มควันขนาดใหญ่ลอยปกคลุมพื้นที่บางส่วนของตัวเมือง ชาวเมืองที่ร่างปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงได้รับความช่วยเหลือออกมาจากซากปรักหักพัง ถนนและทางหลวงบิดเบี้ยวไปมา บ้างก็ถูกตัดขาด

แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.53 น.ของวันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากนั้นไม่นานความมืดก็เข้าปกคลุม แต่แผ่นดินไหวทำให้สายไฟขาด จึงไม่มีไฟตามท้องถนนหรือตามตึกรามบ้านช่องต่างๆ ทำให้การกู้ภัยเป็นไปอย่างยากลำบาก และยังไม่ทราบยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บที่ชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่ประเมินว่า ยอดในเมืองหลวงน่าจะสูง เพราะนอกจากจะแออัดแล้ว ยังเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่สร้างอย่างไม่แข็งแรงด้วย

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า หลังเกิดเหตุกลุ่มควันสีขาวซึ่งเกิดจากผงฝุ่นจากอาคารที่พังถล่มลงมาได้ปกคลุมท้องถนนในกรุงปอร์โตแปรงซ์ กลุ่มควันนี้ลอยอยู่ในอากาศจนกระทั่งความมืดปกคลุมลงมา ขณะที่สถานการณ์ในเมืองเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ผู้ที่รอดชีวิตต่างวิ่งวุ่นตามหาญาติๆ ของตัวเอง เสียงไซเรนดังไปทั่วเมือง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นานาประเทศต่างประกาศให้ความช่วยเหลือกันโดยถ้วนหน้า เยอรมนีประกาศให้ความช่วยมูลค่า 1 ล้านยูโร (กว่า 47 ล้านบาท) ในทันที ขณะที่อังกฤษ ฝรั่งเศส ไต้หวัน ส่งคณะเจ้าหน้าที่ไปให้ความช่วยเหลือแล้ว ด้านเจ้าหน้าที่กาชาดซึ่งไปถึงที่เกิดเหตุแล้วบอกว่า ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทั้งโทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำประปา ตลอดจนการรักษาพยาบาลในเมืองหลวงของเฮติตอนนี้ใช้การไม่ได้เลย ทั้งยังประเมินว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบร่วม 3 ล้านคน

ทั้งนี้ เฮติเป็นประเทศที่ยากจนในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ต้องเผชิญกับหายนภัยครั้งรุนแรงหลายครั้งในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 2551 เกิดเฮอริเคน 3 ลูก และพายุโซนร้อนลูกหนึ่งถล่ม มีคนตาย 793 คน สูญหายอีกกว่า 300 คน ในปีเดียวกันนั้นยังเกิดการจลาจล เพราะราคาอาหารแพงลิบอีกด้วย

ด้าน นายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อธิบายถึงสัญญาณผิดปกติจากเกิดแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐเฮติว่า เคยมีนักวิทยาศาสตร์ที่คิดแตกต่างกัน มองว่าการเกิดแผ่นดินไหวบนโลกทุกวันนี้เกิดจากการสะสมพลังงานจากใจกลางโลก และนอกโลก ซึ่งเป็นพลังงานที่ปลดปล่อยมาจากระบบสุริยะ คล้ายกับปรากฏการณ์ในภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ที่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกอย่างรุนแรง เนื่องจากความผิดปกติของการเคลื่อนตัวของระบบสุริยะที่สร้างแรงกระตุ้นให้ดาวเคราะห์ต่างๆ รวมถึงโลก โดยการปลดปล่อยพลังงานแสง พลังงานสนามแม่เหล็ก มายังดาวเคราะห์หลายดวง กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แสงสว่าง ทำให้โลกได้รับสนามแม่เหล็กจากการเกิด "พายุสุริยะ" หรือ "จุดดับ" ก็ส่งพลังงานจากภายนอกเข้ามามีผลต่อการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกได้
"ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ ที่โลกได้รับพลังงานจากระบบสุริยะ หรือจักรวาลอื่นๆ ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก อย่างกรณีที่เฮติก็เชื่อว่าเกิดจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาล ที่กระตุ้นให้ดวงอาทิตย์เกิดสันดาป ปลดปล่อยสนามแม่เหล็กมาสู่โลก" นายสมิทธกล่าว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://news.sanook.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น